โยส เซาเต็น ชาวฮอลันดาที่เข้ามาติดต่อค้าขายในพระนครศรีอยุธยา (ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา คือ ปอร์ตุเกส ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ.2034-2072) ได้เขียนพรรณนาความสวยงามและความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า
” พระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ บรรดาขุนนาง ข้าราชการ เจ้านายทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่พระนครศรีอยุธยานี้ เมืองเมืองนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ท้องที่รอบนอกเป็นที่ราบไปทั่วทุกทิศ รอบกรุงศรีอยุธยามีกำแพงหินสร้างอย่างหนาแน่นแข็งแรง รอบกำแพงวัดได้ 2 ไมล์ฮอลันดา จึงเป็นนครหลวงที่กว้างขวางใหญ่มาก ภายในพระนครมีโบสถ์ วิหาร วัดวาอารามสร้างขึ้นอยู่ติด ๆ กัน ประชาชนพลเมืองผู้อยู่อาศัยก็มีอยู่หนาแน่น ภายในกำแพงเมืองมีถนนกว้างตัดตรงและยาวมาก และมีคลองขุดจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาในพระนคร จึงสะดวกแก่การสัญจรไปมาได้ทั่วถึงกัน นอกจากถนนและคลอง ยังมีคูเล็ก ๆ และตรอกซอยอีกเป็นอันมาก ด้วยเหตุนี้ในฤดูน้ำ เรือพายทั้งหลายทั้งปวงจึงสามารถที่จะผ่านเข้าออกติดต่อกันได้จนถึงหัวกะไดบ้าน บ้านที่อยู่อาศัยนั้นปลูกขึ้นตามแบบบ้านแขกอินเดีย แต่มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง พระนครศรีอยุธยานี้จึงเป็นนครที่โอ่อ่า เต็มไปด้วยโบสถ์วิหาร ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 300 และก่อสร้างอย่างวิจิตรพิสดารที่สุด โบสถ์วิหารเหล่านี้มีปรางค์ เจดีย์ และรูปปั้น รูปหล่อมากมายใช้ทองฉาบอยู่ภายนอกสีเหลืองอร่ามทั่วไปหมด เป็นพระมหานครที่สร้างอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำ โดยมีผังเมืองวางไว้อย่างเป็นระเบียบจึงเป็นนครที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีประชาชนหนาแน่น และเต็มไปด้วยสินค้าสิ่งของจำเป็นแก่ชีวิต นำเข้ามาขายจากนานาประเทศ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ยังไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในแถบนี้ของโลก ที่จะมีเมืองใหญ่โตมโหฬารวิจิตรพิสดารและสมบูรณ์พูนสุขเหมือนกับพระมหากษัตริย์ ณ ราชอาณาจักรนี้ พระนครศรีอยุธยาอยู่ในภูมิฐานที่ดีและมั่นคง สุดวิสัยที่ข้าศึกศัตรูจะโจมตียึดครองได้ง่าย ๆ เพราะทุก ๆ ปี น้ำจะท่วมขึ้นมาถึง 6 เดือนทั่วท้องที่นอกกำแพง จึงเป็นการบังคับให้ศัตรูอยู่ไม่ได้ ต้องล่าถอยทัพไปเอง”
ประวัติการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์และเหตุการณ์โดยย่อ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.1893 เป็นกษัตริย์ราชวงศ์เชียงราย ทรงปกครองกรุงศรีอยุธยาจนถึง พ.ศ. 1912 ก็สวรรคต
พระราเมศวรพระราชโอรสที่ครองเมืองลพบุรีเสด็จมาเสวยราชแทนพระราชบิดา (พ.ศ.1912-1913) แต่ขุนหลวงพะงั่ว พระปิตุลา (อา) เสด็จเข้ามาหมายจะครองราชย์ จึงทรงสละราชบัลลังก์กลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม
ขุนหลวงพะงั่วเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 1 เป็นต้นราชวงศ์สุวรรณภูมิ ครองราชย์ พ.ศ.1913 ถึงพ.ศ.1931 เสด็จสวรรคต
พระเจ้าทองลัน ราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน เมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา เพียง 7 วัน พระราเมศวรก็เสด็จมาจับปลงพระชนม์
สมเด็จพระราเมศวร ทรงครองราชย์ตั้งแต่พ.ศ.1931 ถึงพ.ศ.1938 ทรงเป็นจอมทัพยกไปตีเมืองกำพูชาได้
สมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา พ.ศ.1938 ครั้นถึงพ.ศ.1952 ก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงราชสมบัติเป็นครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา คือพระราชนัดดาของขุนหลวงพะงั่วที่ครองเมืองสุพรรณมาจับพระรามราชาธิราชปลงพระชนม์แล้วขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนครินทราชาธิราช
สมเด็จพระนครินทราชาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.1952 ถึงพ.ศ.1967 มีพระโอรส 3 พระองค์ คือ เจ้าอ้ายพระยา โอรสองค์ใหญ่ทรงให้ครองเมืองสุพรรณ เจ้ายี่พระยา โอรสองค์กลางให้ครองเมืองสรรค์ และเจ้าสามพระยา โอรสองค์เล็กให้ครองเมืองชัยนาท เมื่อพระราชบิดาสวรรคต โอรสทั้งสามก็ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาชนช้างกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน สวรรคตบนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยายกทัพมาภายหลังก็เข้ากรุงศรีอยุธยาเสวยราชย์สมบัติแทนพระราชบิดาทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 2
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1967 ถึงพ.ศ.1991 ทรงมีพระราชโอรสทรงพระนามว่า พระราเมศวร โปรดให้ไปครองหัวเมืองเหนือ ณ เมืองพิษณุโลก ครั้นพระราชบิดาสวรรคตก็เสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย์ พ.ศ. 1991 ถึง พ.ศ.2031 เหตุการณ์สำคัญในสมัยนี้คือ ทรงยกทัพไปรบกับพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ทรงยกเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เสด็จไปประทับพ.ศ. 2006 จนสวรรคตที่นั่น ส่วนกรุงศรีอยุธยาให้เป็นเมืองลูกหลวง โปรดให้พระบรมราชา พระโอรสองค์ใหญ่มาครอง สมัยนี้มีการปรับปรุงระบบการปกครองเป็น เวียง วัง คลัง นา และบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ครองราชย์ พ.ศ.2031 ถึงพ.ศ.2034 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชแทนพระราชบิดาทำให้กรุงศรีอยุธยากลับมาเป็นเมืองหลวง แต่ครองราชย์ได้เพียง 3 ปีก็สวรรคต พระอนุชาต่างพระมารดาขึ้นเสวยราชย์สมบัติแทนทรงพระนาม สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.2034 ถึง พ.ศ.2072 ในสมัยนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นครั้งแรก คือ ฝรั่งชาวปอร์ตุเกสได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ในสมัยนี้ได้จัดทำตำราพิชัยสงคราม เมื่อเสด็จสวรรคตสมเด็จพระอาทิตย์วงศ์พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระบรมราชามหาหน่อพุทธางกูร
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (หน่อพุทธธางกูร) ครองราชย์ พ.ศ.2072 ถึงพ.ศ.2076 ทรงครองราชย์ได้เพียง 5 ปีก็ประชวรทรพิษสวรรคต พระรัษฎาธิราชกุมาร พระชนม์ 5 พรรษา ขึ้นเสวยราชย์แทน
สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร ครองราชย์พ.ศ.2076 อยู่ได้เพียง 5 เดือน พระไชยราชาธิราชก็ปลงพระชนม์และขึ้นครองราชย์แทน
สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสวยราชย์ พ.ศ.2077 ถึงพ.ศ.2090 ได้ทำสงครามกับพม่าเป็นครั้งแรก ทำให้รบกันยาวนานต่อมาถึง 300 ปีเศษ เมื่อเสด็จสวรรคต พระแก้วฟ้า พระโอรสองค์ใหญ่ พระชนมายุ 11 พรรษาขึ้นครองราชย์สืบแทน
สมเด็จพระยอดฟ้า ครองราชย์สมบัติ พ.ศ.2090 ถึงพ.ศ.2091 มีเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เป็นผู้สำเร็จราชการมีเหตุการณ์สำคัญคือ เจ้าแม่อยู่หัวเป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพและยกขึ้นเป็นขุนวร และเกิดราชบุตร ต่อมาสมเด็จพระแก้วฟ้าก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ส่วนขุนวรวงศาธิราช เจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์และราชบุตร ถูกขุนพิเรนทรเทพและขุนนางเสนาบดีจับปลงพระชนม์ที่คลองสระบัว และไปเชิญสมเด็จพระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราชให้ทรงลาผนวชเสด็จขึ้นครองราชย์แทนทรงพระนาม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ขุนพิเรนทรเทพ เชื้อสายวงศ์สุโขทัยได้รับความชอบ สถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ครองราชย์ พ.ศ. 2091 ถึงพ.ศ.2106 และครั้งที่ 2 พ.ศ.2111 ถึงพศ.2112 ทรงยกพระราชธิดาอันเกิดจากสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระราชทานเป็นพระมเหสีพระมหาธรรมราชา ให้ไปครองเมืองพิษณุโลก เกิดสงครามกับพม่า พระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ณ ทุ่งภูเขาทอง พ.ศ.2091 หลังเสวยราชเพียง 6 เดือน ส่วนพม่าเสียพระเจ้าแปร ทำให้เปลี่ยนแผ่นดินเป็นบุเรงนอง เกิดการรบใหญ่ระหว่างไทยกับพม่า ทางด้านกรุงศรีอยุธยา พระมหาจักรพรรดิ์ทรงสละราชสมบัติออกผนวช ให้พระมหินทราธิราชครองราชย์แทน
สมเด็จพระมหินทราธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2106 ถึงพ.ศ.2111 และครั้งที่ 2 พ.ศ.2112 บุเรงนองยกทัพใหญ่ล้อมกรุงศรีอยุธยา พระมหินทราธิราชทรงอ้อนวอนพระราชบิดาให้ทรงลาผนวชมาบัญชาการรบ การรบครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เพราะพระยาจักรีเป็นไส้ศึก พม่าล้อมเมืองถึง 9 เดือน กำลังจะถึงฤดูน้ำหลาก กรุงศรีอยุธยาแตกวันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ.2112 ก่อนน้ำหลากมาท่วมทุ่งอยุธยาเพียง 20 วันเท่านั้นเอง
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2112 ถึง พ.ศ.2133 เป็นสมัยที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองประเทศราชภายใต้การปกครองของพม่า มีพระราชธิดาคือพระสุพรรณกัลยาณี และพระราชโอรสสองพระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ พระสุพรรณกัลยาณีและสมเด็จพระนเรศวร พระเจ้าหงสาวดีขอไปเป็นตัวประกันตั้งแต่พระนเรศวรพระชนมายุ 9 พรรษา พระราชบิดาทูลขอกลับมาเมื่อขึ้นเสวยราชย์ ขณะนั้นพระชนมายุ 15 พรรษา พระบิดาโปรดให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ครั้นวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2127 พระนเรศวรทรงประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแกรง ซึ่งเป็นเวลาถึง 15 ปีที่ไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ถึงพ.ศ.2133 พระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครองราชย์พ.ศ.2133 ถึงพ.ศ.2148 เกิดสงครามใหญ่ระหว่างไทยกับพม่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2135 เรียกว่า สงครามยุทธหัตถี พระมหาอุปราชามังสามเกียดต้องพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารบกับไทยเป็นเวลานานนับร้อยปี สมเด็จพระนเรศวรสวรรคตพ.ศ.2148
สมเด็จพระเอกาทศรถ ครองราชย์พ.ศ.2149 ถึงพ.ศ.2163 เป็นช่วงบ้านเมืองสงบ มีการขยายความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น สวรรคตพ.ศ.2163
สมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทนพระราชบิดา พ.ศ.2163 – พระศรีสินซึ่งเป็นพระอนุชาสละสมณเพศออกมาจับปลงพระชนม์ แล้วขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระเจ้าทรงธรรม
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ครองราชย์พ.ศ.2163 ถึงพ.ศ.2172 สมัยนี้มีการค้าขายกับชาติตะวันตกและสร้างมณฑปสวมพระพุทธบาท เมื่อเสด็จสวรรคต พระเชษฐาธิราช พระราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จครองราชย์แทน
สมเด็จพระเชษฐาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2171 ถึงพ.ศ.2172 มีเหตุทรงระแวงเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโอรสลับของพระเอกาทศรถที่เกิดจากนางอินบาทบริจาริกาตอนเสด็จเกาะบางปะอิน ทรงให้จับเจ้าพระยากลาโหม แต่ความแตก เจ้าพระยากลาโหมจึงจับปลงพระชนม์ แล้วยกพระอาทิตยวงศ์ พระราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้าทรงธรรม พระชนมายุ 9 พรรษาขึ้นครองราชย์
สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ ครองราชย์ พ.ศ.2172 ยังทรงพระเยาว์นัก ครองราชย์ได้ 6 เดือน เสนาบดีและขุนนางทั้งหลายลงมติให้ปลดและยกเจ้าพระยากลาโหมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ พ.ศ.2172 ถึงพ.ศ.2199 ในสมัยนี้มีภารติดต่อกับประเทศตะวันตก การลบศักราชและขยายอำนาจไปปกครองเขมร เมื่อเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าไชยพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ครองราชย์ พ.ศ.2199 แต่ไม่ถึงปี พระศรีสุธรรมราชาและพระนารายณ์ พระราชโอรสอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าปราสาททองก็ล้มราชบัลลังก์
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ครองราชย์ พ.ศ.2199 แต่อยู่เพียงสามเดือนเกิดสงครามกลางเมืองกับพระนารายณ์ ถูกพระนารายณ์สังหาร ยึดราชบัลลังก์สำเร็จ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครองราชย์ พ.ศ.2199 ถึงพ.ศ.2231 เป็นสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับฝรั่งมากที่สุด ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองลพบุรี เมื่อสวรรคตเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติ พระเพทราชายึดอำนาจได้จึงขึ้นครองราชย์แทน
สมเด็จพระเพทราชา ครองราชย์ พ.ศ.2231 ถึงพ.ศ.2246 ตระกูลเดิมคือตะพุ่นหญ้าช้าง เป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาทำลาย มีขุนหลวงสรศักดิ์เป็นอุปราช พอเสด็จสวรรคต เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งราชบัลลังก์ ขุนหลวงสรศักดิ์ได้ขึ้นครองราชย์
ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญที่ 8
สมเด็จพระศรีสรรเพชญที่ 8 (พระเจ้าเสือ) ครองราชย์ พ.ศ.2246 ถึงพ.ศ.2252 อยู่ในราชบัลลังก์ 6 ปี สวรรคต พระราชโอรสคือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ขึ้นเสวยราชย์แทน
สมเด็จพรเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ครองราชย์ พ.ศ.2252 ถึงพ.ศ.2275 ปลายรัชกาลเริ่มมีความขัดแย้งระหว่างกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) และเจ้าฟ้าอภัย เมื่อพระราชบิดาสวรรคตก็เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงราชสมบัติ เจ้าฟ้าอภัยแพ้ถูกสำเร็จโทษ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นเสวยราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ พ.ศ.2276 ถึงพ.ศ.2301 พระองค์มีพระราชโอรส 3 พระองค์คือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ทรงตั้งให้เป็นพระอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี และเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ต้องโทษเพราะลอบรักกับพระสนมของพระราชบิดา ถูกเฆี่ยนจนถึงพิราลัย เมื่อใกล้สิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมอบราชสมบัติให้กรมขุนพรพินิต ส่วนกรมขุนอนุรักษ์มนตรี โอรสองค์ใหญ่ทรงขับไล่ไปบวช เมื่อสิ้นรัชกาลเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นเสวยราชย์ ทรงพระนาม สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร คนมักเรียกว่า ขุนหลวงหาวัด
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ครองราชย์ พ.ศ.2301 ครองราชย์ได้เพียง 19 วัน กรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็สึกออกมาจึงทรงมอบราชสมบัติให้ พระองค์ทรงออกผนวช ณ วัดประดู่ทรงธรรม กรมขุนอนุรักษ์มนตรีที่พระบิดาเคยตรัสว่า “โฉดเขลาหาควรเป็นกษัตริย์ไม่…” ก็เสวยราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) ครองราชย์ พ.ศ.2301 ถึงพ.ศ.2310 ขุนนางไม่พอใจจึงพากันออกบวชเป็นอันมาก ปลายปีพ.ศ.2308 กองทัพพม่าเห็นความระส่ำระส่ายของกรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพเข้าตีตามรายทาง และเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ไม่มีพระสติปัญญาบริหารบ้านเมืองและบัญชาการรบ จึงให้อัญเชิญเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงลาผนวชมาครองราชย์และบัญชาการรบทำให้พระเจ้าเอกทัศน์อยากครองราชย์อีก เจ้าฟ้าอุทุมพรทรงรำคาญพระทัยเลยเสด็จออกทรงผนวชอีก ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์ก็ทรงสำราญและมัวเมาในอิสตรีไม่เอาพระทัยใส่ในการป้องกันบ้านเมือง พม่าล้อมเมือง 1 ปีกับ 2 เดือน ขุดอุโมงค์เผากำแพงพังลงมา บุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้
เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 ตรงกับวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 ไล่ฆ่าผู้คน ปล้นเมืองจุดไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่าง กรุงศรีอยุธยาที่รุ่งเรืองสืบต่อกันมา 417 ปีก็ถึงกาลพินาศย่อยยับ ไม่อาจฟื้นคืนมาเป็นราชธานีแห่งกรุงสยามอีกต่อไป เป็นอันสิ้นสุดประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงศรีอยุธยาโดยสิ้นเชิง ซึ่งเกิดจากการแตกสามัคคีและแก่งแย่งชิงดีและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนไทยนั่นเอง
พระมหากษัตริย์ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยาตลอดระยะเวลา 417 ปี มีทั้งหมด 33 พระองค์
แบ่งเป็น 5 ราชวงศ์ ดังนี้
ราชวงศ์อู่ทอง (ครั้งที่ 1)
1. สมเด็จพระเจ้ารามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) พ.ศ. 1893-1912 (19 ปี )
2. สมเด็จพระราเมศวร (สมัยที่ 1) พ.ศ. 1912-1913 (ไม่ถึงปี)
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ครั้งที่ 1)
3. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) พ.ศ. 1913-1931 (18 ปี )
4. เจ้าทองลั่น พ.ศ. 1931-1931 ( 7วัน )
ราชวงศ์อู่ทอง (ครั้งที่ 2)
สมเด็จพระราเมศวร (สมัยที่ 2) พ.ศ. 1931-1938 ( 7ปี )
5. สมเด็จพระเจ้ารามราชาธิราช พ.ศ. 1938-1952 (14 ปี )
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ครั้งที่ 2)
6. สมเด็จพระนครินทราธิราช หรือ สมเด็จพระอินทราชา พ.ศ. 1952-1967 (15 ปี )
7. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. 1967-1991 ( 24 ปี )
8. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1991-2031 ( 40 ปี )
9. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระอินทราราชาที่ 2) พ.ศ. 2031-2034 ( 3 ปี )
10. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) พ.ศ. 2034-2072 ( 38 ปี )
11. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (หน่อพุทธางกูร) พ.ศ. 2072-2076 ( 4 ปี )
12. พระรัษฎาธิราช พ.ศ. 2076-2077 ( 5 เดือน )
13. สมเด็จพระไชยราชาธิราช พ.ศ. 2077-2089 ( 12 ปี )
14. พระยอดฟ้า หรือ พระแก้วฟ้า พ.ศ. 2029-2091 ( 2 ปี )
15. สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ. 2091-2111 ( 20 ปี )
16. สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ. 2111-2112 ( 1 ปี )
(เสียกรุงศรีอยุธยาแกพม่าครั้งที่ 1)
ราชวงศ์สุโขทัย
17. สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พ.ศ. 2112-2133 ( 31 ปี )
18. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2133-2148 ( 15 ปี )
19. สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. 2148-2153 ( 5 ปี )
20. เจ้าฟ้าเสาวภาคย์ พ.ศ. 2153-2153
21. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. 2153-2171 ( 17 ปี )
22. สมเด็จพระเชษฐาธิราช พ.ศ. 2171-2172 ( 8 เดือน )
23. สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ พ.ศ. 2172-2172 ( 28 วัน )
ราชวงศ์ปราสาททอง
24. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2172-2199 ( 27 ปี )
25. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พ.ศ. 2199-2199 ( 3-4 วัน )
26. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พ.ศ. 2199-2199 ( 2 เดือน )
27. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231 ( 32 ปี )
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
28. สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ. 2231-2246 ( 15 ปี )
29. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือ สมเด็จพระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) พ.ศ. 2146-2251 ( 5 ปี )
30. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. 2251-2275 ( 24 ปี )
31. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2275-2301 ( 26 ปี )
32. สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) พ.ศ. 2301-2301 ( 2 เดือน )
33. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
***** พ.ศ. 2301-2310 ( 9 ปี )(เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 ) ****